การ์ทเนอร์เผยผลสำรวจล่าสุด พบผู้นำธุรกิจถึง 87% จะเพิ่มการลงทุนความยั่งยืนในอีก 2 ปีข้างหน้านี้

การ์ทเนอร์ อิงค์ เผยผลสำรวจล่าสุดพบว่า 87% ของผู้นำธุรกิจเตรียมเพิ่มการลงทุนด้านความยั่งยืนในอีกสองปีข้างหน้าโดยระบุว่าลูกค้าเป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียหลักที่กดดันให้องค์กรต้องลงทุนหรือดำเนินการด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นการเลือกจากกลุ่มผู้บริหาร 80% ตามมาด้วยกลุ่มนักลงทุน (60%) และกลุ่มนักกฎหมาย (55%) ตามลำดับ

 

คริสตินโมเยอร์ รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์กล่าวว่า “ความยั่งยืนช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับการหยุดชะงักต่างๆได้โดยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ต้นทุนวัสดุและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นล้วนส่งผลให้องค์กรธุรกิจต้องกลับมาตรวจสอบค่าใช้จ่ายทุกรูปแบบอีกครั้งซึ่งการมุ่งให้ความสำคัญกับเรื่องที่จำเป็นและความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ต้องการเห็นความคืบหน้าของการดำเนินงานตามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมสังคมและธรรมาภิบาล (หรือESG) นั้นสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆแก่องค์กรพร้อมช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยง”

 

ความยั่งยืนช่วยปกป้ององค์กรธุรกิจจากการหยุดชะงัก

86% ของผู้นำธุรกิจมองว่าความยั่งยืนนั้นเป็นการลงทุนที่ช่วยปกป้ององค์กรของตนจากการหยุดชะงักนอกจากนี้83% ยังระบุว่ากิจกรรมต่างๆในโครงการความยั่งยืนนั้นช่วยสร้างมูลค่าแก่องค์กรทั้งในระยะสั้นและระยะยาวและ80% ระบุว่าความยั่งยืนช่วยให้องค์กรปรับความเหมาะสมและลดต้นทุนได้

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าโครงการความยั่งยืนกำลังช่วยลดต้นทุนให้กับประเด็นต่อไปนี้เป็นอันดับต้นๆซึ่งประกอบด้วยการใช้พลังงาน (Energy Consumption) การเดินทางเพื่อธุรกิจ (Business Travel) และธุรกรรมของลูกค้า (Customer Transaction) (ตามรูปภาพที่1)

 

ภาพที่ 1 ค่าใช้จ่ายด้านปฏิบัติการหลัก ๆ ของธุรกิจที่ลดลงผ่านโครงการความยั่งยืน

 

ที่มา: การ์ทเนอร์ (ตุลาคม 2565)

“ผู้นำองค์กรบรรลุความสำเร็จในด้านการปฏิบัติงานและการประหยัดในห่วงโซ่อุปทานด้วยโครงการความยั่งยืนของพวกเขาตามกลยุทธ์ “Two For One” ที่การลงทุนด้านความยั่งยืนช่วยสนับสนุนเป้าหมายทางธุรกิจอาทิการเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนที่ช่วยเพิ่มผลกระทบของโครงการได้อย่างมากด้วยการสร้างวงจรการทำธุรกิจด้วยคุณธรรม”

 

ความยั่งยืนขับเคลื่อนการเติบโตองค์กรและนวัตกรรม

ความยั่งยืนสามารถเพิ่มมูลค่าและสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจโดย 57% ของผู้นำธุรกิจระบุว่าโครงการความยั่งยืนมีความเชื่อมโยงสำคัญต่อผลกำไรขาดทุนขององค์กรและ 42% ใช้ประโยชน์จากกิจกรรมความยั่งยืนต่างๆเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมสร้างความแตกต่างและการเติบโตแก่องค์กรผ่านผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน

 

“การลงทุนด้านความยั่งยืนสามารถส่งเสริมการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้มีความแตกต่างได้แต่ควรระมัดระวังความเสี่ยงจากการมุ่งสู่องค์กรสีเขียวเนื่องจากไม่มีทางลัดสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนดังนั้นจึงควรมุ่งเน้นไปที่คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญต่อลูกค้าและจัดลำดับความสำคัญนั้นๆเพื่อกำหนดรูปแบบของการตัดสินใจซื้อเมื่อเรามองในมุมกลยุทธ์ความยั่งยืนนั้นเป็นทางแสงสว่างแก่ธุรกิจในสภาวะตลาดที่ยากลำบาก”

 

ลูกค้าการ์ทเนอร์เรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ “2022 Sustainability Survey: Use Sustainability to Drive Value and Mitigate Disruption.”