เอปสัน ทะยานสู่ S-curve ใหม่ ด้วย Heat-Free เทคโนโลยีการพิมพ์ที่พร้อมนำความยั่งยืนสู่โลกธุรกิจ

เอปสัน ประเทศไทย เดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างรวดเร็วหลังพ้นโควิด ด้วยการกวาดยอดขายเติบโตมากกว่า 10% สองปีซ้อน ทั้งยังตั้งเป้าปี 2566 นี้ เช่นเดิม ด้วยการทำยอดทะลุ 10% อีกครั้ง พร้อมย้ำว่าปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ก้าวเข้าสู่ New S-curve โดยมีเทคโนโลยี Heat-Free เป็นแกนหลัก ซึ่งช่วยเพิ่มความคุ้มค่าให้กับธุรกิจของลูกค้า และแสดงถึงจุดยืนในการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืนของเอปสันอีกด้วย

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯ มีการรับรู้รายได้รวมจากการขายผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มในปี 2565 เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 10% ซึ่งเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่บริษัทฯ สามารถทำได้ตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 และได้ตั้งเป้าที่จะสร้างการเติบโตให้ได้ในระดับเดียวกันที่มากกว่า 10% สำหรับปี 2566 ด้วยเช่นกัน โดยได้วางกลยุทธ์ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในช่วง Post COVID19 เช่นนี้    ที่จะเน้นสร้างความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ โดยหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญคือการสร้าง New S-curve ซึ่งมีเทคโนโลยี Heat-Free เป็นแกนหลัก”

ยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด

ในขณะที่เครื่องพิมพ์เลเซอร์ต้องใช้กระบวนการหลายขั้นตอนและต้องใช้พลังงานมากเพื่อสร้างความร้อนในการกระบวนการพิมพ์ แต่เทคโนโลยี Heat-Free ของเอปสันกลับใช้การพ่นน้ำหมึกลงบนกระดาษโดยตรง ไม่ต้องใช้ความร้อนแม้แต่น้อย ซึ่งเมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์แล้ว จะช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่าถึง 85% ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 85% และมีชิ้นส่วนและวัสดุสิ้นเปลืองน้อยกว่า 59% ทั้งยังไม่เกิดความร้อนจากกระบวนการพิมพ์ซึ่งจะทำลายหัวพิมพ์

“เทคโนโลยี Heat-Free จะช่วยประหยัดเวลาด้วยการพิมพ์ความเร็วสูงอย่างสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องรอวอร์มเครื่องพิมพ์ สามารถเริ่มพิมพ์งานได้ทันที จึงพิมพ์งานได้รวดเร็วและต่อเนื่อง ทั้งยังให้งานพิมพ์ที่คมชัด มีความละเอียดสูง ไม่ต่างจากเครื่องพิมพ์เลเซอร์” นายยรรยง กล่าว

เมื่อช่วงปลายปี 2565 ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ได้ตอกย้ำถึงทิศทางในการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ด้วยการประกาศยุติการจำหน่ายและกระจายสินค้าเครื่องพิมพ์เลเซอร์ และจะมุ่งมั่นกับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทระบบหัวพิมพ์ Heat-Free และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนต่อไป

นายยรรยง กล่าวต่อว่า “เอปสัน ประเทศไทยขานรับนโยบายดังกล่าวด้วยการเปิดตัวเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชั่นอิงค์เจ็ทในกลุ่ม WorkForce Enterprise รุ่น AM-Series ที่ใช้หัวพิมพ์ PrecisionCore เทคโนโลยี Heat-Free ที่กินไฟน้อย ปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ น้อย และถูกออกแบบให้มีชิ้นส่วนประกอบที่ต้องดูแลรักษาน้อย ทำให้บำรุงรักษาง่าย เพื่อมาแข่งขันในตลาดเดียวกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์และเครื่องถ่ายเอกสาร ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ใน New S-curve ของบริษัทฯ”

สำหรับปี 2566 นี้ เช่นเดียวกับเอปสันในทุกตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ เอปสัน ประเทศไทยจะยกระดับความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยจะผลักดันประเด็นดังกล่าวเข้าไปสู่กลไกทางธุรกิจและกิจกรรมทางการตลาดมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการขานรับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาวของไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น หรือที่เรียกว่า ‘Environmental Vision 2050’

“เทคโนโลยี Heat-Free ที่เป็นทั้งหัวใจของ New S-curve และเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อความยั่งยืน เป็นคำตอบสู่ความสำเร็จก้าวต่อไปของเอปสัน ประเทศไทย บริษัทฯ ไม่ได้มุ่งทำธุรกิจเพื่อสร้างอนาคตให้กับธุรกิจของลูกค้าเท่านั้น แต่ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับคนรุ่นต่อไป ที่กำลังเรียกร้องให้องค์กรธุรกิจตลอดซัพพลายเชนให้ความสำคัญกับในเรื่องความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ความยั่งยืนจะไม่ได้เป็นแค่ไอเดียของกิจกรรมซีเอสอาร์อีกต่อไป แต่จะเป็นมากกว่ากลยุทธ์ในการทำตลาด และโดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ ความยั่งยืนกลายเป็นพันธกิจสำคัญที่กำหนดเป้าหมายและรูปแบบการทำธุรกิจ เช่นเดียวกับไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ที่ความยั่งยืนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอองค์กรไปแล้ว ดังจะเห็นได้จากเทคโนโลยี Heat-Free” นายยรรยง กล่าวทิ้งท้าย