ม. เทคโนโลยีมหานคร เดินหน้าพัฒนาหลักสูตรการสอนแนวใหม่ ปั้นบัณฑิตพร้อมใช้ ป้อนตลาดอุตสาหกรรม

จากชื่อเสียงที่สั่งสมมานานกว่า 3 ทศวรรษของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (MUT) ที่โดดเด่นในด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี และได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนอันดับหนึ่งของไทย ด้านวิจัย นวัตกรรมและสังคม จากการจัดอันดับของ SCImago Institutions Rankings (SIR) ในปี 2021 รวมถึงจากข้อมูลสถิติยังพบบัณฑิตของ MUT มีงานทำอยู่ในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ สูงถึงร้อยละ 95 ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จและเป็นสิ่งพิสูจน์ถึงความตั้งใจตลอดระยะเวลากว่า 33 ปี แห่งความมุ่งมั่นดังวิสัยทัศน์ที่ว่า “บัณฑิตและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครต้องเป็นที่ยอมรับและต้องการของภาคอุตสาหกรรม” และ MUT พร้อมก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยด้านเทคโนโลยีที่ดีเยี่ยมสำหรับทุกคน (Premium Technological University for All)”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ภานวีย์  โภไคยอุดม อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร กล่าวว่า แนวการเรียนการสอนของเราไม่ใช่แค่การให้องค์ความรู้ที่เป็นทฤษฎีอยู่ในตำราเรียนเท่านั้น แต่เราทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาหลักสูตรการศึกษามาโดยตลอด เพื่อให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยให้ความสำคัญกับการบูรณาการความรู้ระหว่างศาสตร์กับเทคโนโลยีหลายแขนง เพื่อให้ทุกหลักสูตรมีคุณภาพ ทุกกระบวนการเรียนการสอนทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ก่อให้เกิดผลงานวิจัยชั้นนำที่โดดเด่น ทั้งแนวคิดผลิตผลเชิงนวัตกรรม ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ MUT ในหลายมิติ”

เพื่อให้นักศึกษาของ MUT สำเร็จเป็นบัณฑิตที่เปี่ยมคุณภาพเป็น ‘บัณฑิตพร้อมใช้’ แนวการเรียนการสอนของ MUT จึงมุ่งเน้นสร้างความรู้และทักษะในการทำงานทั้งด้าน Hard skills และ Soft skills ที่แข็งแกร่งรอบด้านอย่างเป็นองค์รวม (Holistic Knowledge & Skills) ให้เกิดขึ้นในตัวนักศึกษาตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 ไปจนจบการศึกษา MUT จึงมีการพัฒนาหลักสูตรกระบวนการเรียนการสอนแนวใหม่สำหรับนักศึกษาสายวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี โดยจำแนกเป็น 2 แผน เพื่อกลุ่มผู้เรียนเป้าหมาย 2 กลุ่ม ดังนี้

  1. แผนการเรียนระดับปริญญาตรี 4 ปี สำหรับนักเรียนที่เรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญ และระดับ ปวช. ทุกสาย ทุกสาขา สามารถสมัครเรียนตามแผนที่นำทางหรือ Road Map ของหลักสูตรต่าง ๆ ที่ถูกออกแบบไว้อย่างดี ดังจะได้แจกแจงต่อไป
  2. แผนการเรียนเทียบโอน สำหรับผู้เรียนที่เพิ่งเรียนจบสายอาชีวศึกษาระดับ ปวส. และต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี หรือผู้ที่เรียนจบ ปวส. หรือจบปริญญาตรีแล้วในหลากหลายสาขาอาชีพ มีงานทำหรือเคยทำงานและมีความสนใจ จำเป็น หรือ ต้องการกลับมาเรียนสายวิศวกรรมศาสตร์ฯ รวมถึงผู้ที่เรียนจบปวส. ออกไปทำงานแล้วมาอย่างน้อย 5 ปี อายุ 30 ปีขึ้นไป และต้องการกลับมาเรียนต่อ สามารถนำประสบการณ์การทำงาน ความรู้ที่มีอยู่มาเทียบโอนเพื่อเรียนเฉพาะด้านหรือหัวข้อวิชาที่ยังขาดทักษะความรู้ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเริ่มต้นเรียนวิชาพื้นฐานทั่วไปซ้ำอีก

“เรามีนโยบายในการบริหารจัดการนักศึกษาทั้ง 2 กลุ่มแตกต่างกัน กล่าวคือถ้าเป็นนักศึกษาภาคปกติเรียน 4 ปี เมื่อเรียนถึงปีสุดท้าย นักศึกษาอาจลืมสิ่งที่ได้เรียนมาเมื่อตอนปี 1 ถึง ปี 3 ไปแล้วหากไม่ได้ทบทวน จึงเป็นหน้าที่ของคณาจารย์และมหาวิทยาลัย ที่จะต้องแก้ปัญหาว่าทำอย่างไรให้นักศึกษาปี 4 เมื่อจบไปแล้วมีความพร้อมตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม MUT จึงพัฒนากระบวนการเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วยสถานการณ์จริง นั่นคือ นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายจะได้ฝึกทำงานจริง ในบริษัทจำกัดที่มหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้นเพื่อรับงาน R&D จากภาคเอกชนและภาครัฐ ซึ่งต่างจากกลุ่มของนักศึกษาระดับ ปวส. ที่มาเรียนแผนการเรียนเทียบโอน ทาง MUT ก็จะมาดูทักษะ ความจัดเจนของนักศึกษากลุ่มนี้ว่ายังขาดอะไร เพื่อจะช่วยเติมเต็มความรู้และพัฒนาศักยภาพของน้อง ๆ กลุ่มนี้ให้มีความชำนาญในระดับที่สูงมากขึ้น” ดร. ภานวีย์ กล่าวเสริม

ปัจจุบัน MUT ได้ปรับหลักสูตรและจัดกระบวนการเรียนการสอนแนวใหม่ชื่อว่า MUT Selected Topics  สำหรับการเรียนในปีสุดท้ายของนักศึกษา ไม่ว่าจะเลือกเรียนแผนการเรียนปริญญาตรี 4 ปี หรือ แผนการเรียนเทียบโอน จะมีวิชาที่คัดสรรอย่างดีมาให้นักศึกษาแต่ละคนได้เลือกเรียนตามความถนัด ตามความสนใจหรือที่จำเป็นตามสายงานแต่ละอาชีพ แต่ละกิจการ หรือตามแต่ละอุตสาหกรรมที่นักศึกษาสนใจร่วมงานเมื่อสำเร็จการศึกษา

บูรณาการความรู้แบบองค์รวม ผสมผสานความแตกต่างอย่างลงตัว

MUT มุ่งเน้นการเรียนการสอนแบบบูรณาการ เพื่อให้นักศึกษามีทักษะและเรียนรู้แบบองค์รวมเน้นการเรียนรู้ครบทุกมิติ และเรียนเพื่อให้รู้จักสังคม เพื่อก้าวสู่โลกของการทำงานจริงได้อย่างมั่นคง จึงมีการออกแบบหลักสูตรบางรายวิชาสำหรับนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ฯ และนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ มาควบรวมไว้ด้วยกันเพื่อให้นักศึกษาทั้งสองคณะได้พัฒนาทักษะและแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ

ในส่วนคณะบริหารธุรกิจ จากปกติที่มีการเรียน Workshop ทั้งหมด 6 รายวิชา จะมีการเสริมทักษะให้นักศึกษาที่เรียนบริหารธุรกิจให้ได้มีแนวคิดเชิงวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้มีความเข้าใจทฤษฎีเชิงระบบว่า เพราะเหตุใดการทำงานใด ๆ จึงต้องมีนวัตกรรมเป็นองค์ประกอบ และสิ่งต่าง ๆ มีไว้เพื่อทำอะไรได้บ้าง เป็นการทำให้นักศึกษาที่เรียนบริหารธุรกิจ กับ MUT มีความได้เปรียบกว่า เพราะสามารถคิดวิเคราะห์และเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกันนั่นเอง

ขณะเดียวกันนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี ก็จะได้เรียนรู้เรื่องการบริหารธุรกิจด้วย เพื่อให้นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ฯ ได้มีความรู้เชิงการบริหารงาน การคิดต้นทุน กำไร ขาดทุน รู้วิธีทำธุรกิจ การทำมาร์เก็ตติ้ง การใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย เป็นต้น ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการเสริมทัพความแข็งแกร่งให้นักศึกษาของ MUT ทุกคน ไม่ว่าจะเรียนสายวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สายบริหารธุรกิจ เมื่อเรียนจบออกไปทำงานในภาคอุตสาหกรรม ก็จะมีความรู้แบบองค์รวม ไม่ใช่มีแค่ความรู้ด้านใดด้านหนึ่งเป็นการเฉพาะเท่านั้น

ส่วนคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ ก็เป็นอีกหนึ่งสาขาที่โดดเด่นและ MUT ให้ความสำคัญอย่างมากเช่นกัน โดย MUT วางแผนที่จะเข้าไปเปิดโรงพยาบาลรักษาสัตว์ในย่านใจกลางเมือง ซึ่งจะมีเคสสัตว์ป่วยเข้ามาให้ตรวจรักษาเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ เพื่อให้นักศึกษาสัตวแพทย์ได้มีโอกาสพัฒนาทักษะในวิชาชีพมากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นหลักคิดในการบริหารและจัดกระบวนการเรียนการสอนแนวใหม่ที่เป็นจุดเด่นและเป็นความแตกต่างระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครกับสถาบันอุดมศึกษาอื่น

“ผมเคยพูดอยู่เสมอว่า ความคาดหวังในอนาคต คือ ผมอยากให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร เป็นเพียงมหาวิทยาลัยขนาดเล็กที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำและยอดนิยมด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศไทยเท่านั้น ผมไม่ต้องการเปิดหลักสูตรอะไรมากมายตามกระแสนิยม หรือ ตามเทรนด์ แต่ผมจะนำความต้องการหรือเทรนด์ที่เกิดขึ้น มาพัฒนาปรับปรุงและประยุกต์ใช้ให้เข้ากับระบบการเรียนการสอนในหลักสูตรที่เป็น Core Value  ของ MUT เพื่อปั้นบัณฑิตพร้อมใช้สู่ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงสร้างบัณฑิตที่สามารถรับมือกับเทคโนโลยีการผลิต การวบริการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”  อธิการบดี กล่าวทิ้งท้าย