เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์ ที่ปรึกษาด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ชั้นนำของประเทศไทย เผยผลการวิเคราะห์ “Thailand Crisis Risk Landscape 2025” ระบุ 5 ความเสี่ยงใหม่ด้านการสื่อสารที่ภาคธุรกิจไทยต้องเผชิญ ตั้งแต่ Deepfake, Data Privacy, ไปจนถึงแรงกดดันด้าน ESG และเสียงสะท้อนจากพนักงาน โดยทั้งหมดเป็นปัจจัยที่สามารถสร้างวิกฤตชื่อเสียงได้ในชั่วข้ามคืน
ปี 2025–2026 กำลังถูกมองว่าเป็น “จุดเปลี่ยนแห่งความไม่แน่นอน” ที่องค์กรไทยต้องเผชิญกับภูมิทัศน์ความเสี่ยง (Crisis Risk Landscape) ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่เคย เศรษฐกิจผันผวนจากดอกเบี้ยและค่าเงิน เทคโนโลยีที่พลิกโฉมธุรกิจ การบังคับใช้มาตรฐาน ESG ที่เข้มข้นขึ้น ความตึงเครียดทางการเมืองโลก และความเสี่ยงโรคอุบัติใหม่ ล้วนเป็นตัวเร่งที่ท้าทายความสามารถในการปรับตัวขององค์กรไทย คำถามคือ — องค์กรพร้อมหรือยังที่จะรับมือกับวิกฤตที่อาจมาเร็วกว่าที่คาดคิด?

คุณณภัทร กาญจนะจัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด กล่าวว่า ในโลกที่เทคโนโลยีและสังคมเปลี่ยนเร็ว ความเสี่ยงด้านการสื่อสารไม่ได้เป็นเพียงเรื่องภายนอก แต่เกิดจากทั้งข้อมูล การรับรู้ของสังคม และเสียงจากภายในองค์กร องค์กรที่เข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือ จะสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสได้
5 ความเสี่ยงการสื่อสารที่องค์กรต้องจับตา
- ข่าวปลอมและสื่อปลอมเชิงลึก (Deepfake)
การแพร่กระจายของข่าวปลอมและสื่อปลอมที่สมจริงมากขึ้น อาจทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรและผู้บริหารได้ในชั่วข้ามคืน องค์กรจึงจำเป็นต้องมี แนวทางรับมือวิกฤตที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้รวดเร็ว และสื่อสารผ่านช่องทางที่น่าเชื่อถือ
- ข้อมูลรั่วไหลและแรงกดดันด้านความเป็นส่วนตัว
กฎหมาย Data Privacy ที่เข้มงวด และความตื่นตัวของสังคม ทำให้กรณีข้อมูลลูกค้า/พนักงานรั่ว แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจกลายเป็นประเด็นใหญ่ องค์กรจึงต้องสื่อสารด้วยความโปร่งใส พร้อมจัดทำ รายงานความโปร่งใสด้านข้อมูล เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
- แรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมและการสื่อสารเรื่องความยั่งยืน
นักลงทุนและคนรุ่นใหม่ตรวจสอบการสื่อสารเรื่อง ESG อย่างใกล้ชิด หากองค์กรพูดเกินจริง (Greenwashing) หรือขาดหลักฐานสนับสนุน จะถูกตั้งคำถามทันที องค์กรจึงต้องทำ การเล่าเรื่องด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยืนยันได้ด้วยข้อมูลจริง
- สังคมแตกแยกและประเด็นอ่อนไหว
ความเห็นต่างทางการเมืองและค่านิยมทำให้องค์กรอาจถูกลากเข้าสู่ประเด็นที่อ่อนไหว การตอบสนองที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจสร้างแรงปะทะทันที การสื่อสารจึงต้อง มีน้ำหนักที่รอบคอบ และใช้ การทำแผนผังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อลดแรงกดดันจากหลายฝ่าย
- ความเสี่ยงจากพนักงานและการสื่อสารภายใน
พนักงานในยุคนี้คือ “สื่อใหม่” ที่สามารถเผยแพร่เสียงสะท้อนใน TikTok, IG หรือ X ได้ทุกเวลา หากประสบการณ์ภายในองค์กรเป็นลบ อาจกระทบต่อภาพลักษณ์นายจ้างทันที องค์กรจึงต้องมี กลยุทธ์สร้างความผูกพันภายใน และ การสนับสนุนให้พนักงานเป็นกระบอกเสียงเชิงบวก
จากภูมิทัศน์ความเสี่ยงที่ซับซ้อนเช่นนี้ องค์กรไทยจึงต้องก้าวข้ามจาก “การตระหนักรู้” ไปสู่ “การลงมือทำ” JC&CO ได้สรุปแนวทางการปรับตัวที่สำคัญไว้ 3 ประการ ได้แก่

3 แนวทางการปรับตัวขององค์กรไทย
- ลงทุนในระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System)
นำ Data Analytics, Social Listening และ Risk Monitoring Tools มาใช้เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงและตัดสินใจได้รวดเร็ว
- 2. พัฒนาแผนบริหารจัดการวิกฤตแบบหลากมิติ (Multi-dimensional Crisis Plan)
แผนต้องครอบคลุม เศรษฐกิจ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี และผนวกเข้ากับ Business Continuity Plan (BCP) เพื่อความต่อเนื่องในการดำเนินงาน
- 3. ผนวกกลยุทธ์การสื่อสารเข้ากับ Crisis Management
ในยุคดิจิทัล วิกฤตส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงอย่างฉับพลัน องค์กรจึงควรมี Crisis Communication Manual และการซ้อม Scenario Simulation ไว้ล่วงหน้า
“องค์กรที่อยู่รอดในอนาคต ไม่ใช่องค์กรที่ไม่เคยเจอวิกฤต แต่คือองค์กรที่มีการเตรียมพร้อม เรียนรู้ และตอบสนองได้อย่างทันท่วงที “ คุณณภัทร กล่าวสรุป


