“Partnership ที่มากกว่า MOU” ดีลแห่งปีวงการเฮลท์แคร์! พญาไท–เปาโล x การบินไทย จุดประกายอนาคต Workplace Wellness อย่างยั่งยืน
ในยุคที่ “สุขภาพ” ไม่ได้หมายถึงเพียงการไม่มีโรค แต่คือ “พลังในการขับเคลื่อนองค์กร” การจับมือกันระหว่าง เครือโรงพยาบาลพญาไท–เปาโล และ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงสะท้อนการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของวงการเฮลท์แคร์ไทย จาก สวัสดิการเพื่อพนักงาน ไปสู่ กลยุทธ์ด้านสุขภาพระดับองค์กร (Corporate Health Strategy) ที่ออกแบบอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความยั่งยืนทั้งในมิติ “คน” และ “องค์กร”
โครงการ “Partnership: Healthcare Connect to Workplace” ไม่ใช่แค่ข้อตกลงเชิงธุรกิจ แต่คือ โมเดลต้นแบบของระบบสุขภาพเชิงรุก ที่นำแนวคิด Value-Based Healthcare with Purpose มาประยุกต์สู่โลกการทำงานจริง ด้วยเป้าหมายชัดเจน “ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทำงาน เพื่อยกระดับศักยภาพขององค์กร” และนี่เอง คือจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่กำลังจะ “เขียนนิยามใหม่” ให้กับระบบสุขภาพองค์กรไทย
สุขภาพ = กลยุทธ์ใหม่ขององค์กรยุคหลังโควิด
หลังจากวิกฤตโควิด-19 ผ่านพ้นไป โลกธุรกิจได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญว่า “สุขภาพของคนทำงาน คือทรัพย์สินที่ประเมินค่าไม่ได้ขององค์กร” หลายองค์กรทั่วโลกจึงเริ่มหันมาลงทุนด้าน Workplace Wellness อย่างจริงจัง ไม่เพียงเพื่อลดอัตราการเจ็บป่วย แต่เพื่อยกระดับ Productivity เสริมความผูกพันของพนักงาน (Employee Engagement) และสร้างความยั่งยืนในระยะยาว (Sustainable Performance)
การบินไทยในฐานะองค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานกว่า 10,000 คน เข้าใจชัดเจนว่า สุขภาพของบุคลากรคือหัวใจของการให้บริการคุณภาพสูงสุด ดังนั้นการร่วมมือกับเครือโรงพยาบาลพญาไท–เปาโล จึงไม่ใช่เพียง “บริการสุขภาพ” แต่คือการสร้าง Health Infrastructure ที่จะอยู่ใน DNA ขององค์กรในระยะยาว

พญาไท–เปาโล ย้ำพันธกิจ “Strategic Health Partner” เพื่อองค์กรชั้นนำของประเทศ
การเปิดตัวความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ด้านสุขภาพ “Partnership: Healthcare Connect to Workplace” ระหว่าง เครือโรงพยาบาลพญาไท–เปาโล กับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงถือเป็นการยกระดับระบบดูแลสุขภาพองค์กร (Corporate Health Management System) เชื่อมการแพทย์ครบวงจรเข้าสู่สถานที่ทำงานระหว่างองค์กรชั้นนำระดับประเทศ ต่อยอดแนวคิด Value-Based Healthcare with Purpose สู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้กับบุคลากร สร้างประสิทธิภาพองค์กรอย่างยั่งยืน
ภายในพิธีเปิดความร่วมมือดังกล่าว นายอัฐ ทองแตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือโรงพยาบาลพญาไท–เปาโล เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และคณะผู้บริหารจากทั้งสององค์กร รวมถึงผู้แทนสำนักงานประกันสังคม หน่วยงานพันธมิตร และสื่อมวลชนเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สะท้อน “ก้าวสำคัญของบทบาทพันธมิตรสุขภาพระดับองค์กร” ที่ตั้งเป้าพัฒนาสุขภาพคนทำงานขององค์กรไปพร้อมกัน
โดยนายอัฐ ทองแตง กล่าวว่า “นี่คือความร่วมมือที่ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การให้บริการทางการแพทย์ แต่คือการสร้าง Strategic Health Partnership ที่เน้นระบบและผลลัพธ์ด้านสุขภาพทั้งระดับคนและองค์กร ภายใต้แนวคิด Value-Based Healthcare with Purpose เรามุ่งผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิต ประสิทธิภาพการทำงาน ความปลอดภัย และความยั่งยืน เพราะการเป็นพันธมิตรสุขภาพไม่ใช่แค่ความร่วมมือเชิงธุรกิจ
แต่คือพันธกิจที่มุ่งสร้างคุณค่าร่วมกันต่อคนและองค์กร”
นพ.ดุสิต ปัญญาประเสริฐ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเปาโล เกษตร กล่าวเสริมว่า ระบบ “Healthcare Connect to Workplace” เป็นมากกว่าห้องพยาบาลในที่ทำงาน แต่คือระบบดูแลสุขภาพที่วัดผลได้ ประกอบด้วย 3 แกนสำคัญ คือ
- ระบบมาตรฐานทางการแพทย์ ยกระดับสำนักงานแพทย์ในองค์กรด้วยคุณภาพมาตรฐานโรงพยาบาล
- บริการเชื่อมต่อดูแลสุขภาพถึงสถานที่ทำงานและการส่งต่อประสานงานในโรงพยาบาลเครือข่า
- ทีมแพทย์ที่ปรึกษาด้านสุขภาพองค์กร ติดตามผลลัพธ์สุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมกันกับองค์กร
นอกจากนี้ในอนาคตยังมีแผนความร่วมมือด้านเวชศาสตร์การบิน เพื่อร่วมสนับสนุนระบบสุขภาพให้
เป็นไปตามมาตรฐานแนวทางปฏิบัติของธุรกิจสายการบินชั้นนำระดับประเทศ

“การบินไทย” ขับเคลื่อนสุขภาพสู่อนาคตองค์กร ตอกย้ำคุณค่าความร่วมมือ “ดูแลคนอย่างยั่งยืน”
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “พนักงานคือหัวใจของการบินไทย ความสำเร็จไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากองค์กรมองข้ามสุขภาพของคนทำงาน ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนเจตนารมณ์ของเราอย่างชัดเจนว่า การบินไทยไม่ได้ดูแลเฉพาะธุรกิจแต่เราให้คุณค่ากับ “คน” ที่ขับเคลื่อนองค์กร นี่คือการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ทั้งในมิติประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และคุณภาพบริการขององค์กร”
ขณะที่ นางจันทริกา โชติกเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่สายทรัพยากรบุคคล บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “นี่คือการพัฒนาระบบสุขภาพอย่างมียุทธศาสตร์ ไม่ใช่สวัสดิการระยะสั้น แต่คือการมุ่งสร้างสุขภาวะที่ดีของคนในองค์กรให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านระบบบริการสุขภาพที่ออกแบบเฉพาะสำหรับบริบทของการบินไทย”
เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า การดูแลสุขภาพบุคลากรในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการรักษาเมื่อเจ็บป่วยแต่ต้องขยายไปสู่แนวทาง “การป้องกันเชิงรุก” (Preventive & Predictive Health) โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานหลากหลายกลุ่มอายุและรูปแบบการทำงาน เช่น สายการบิน ซึ่งมีทั้งพนักงานภาคพื้น ฝ่ายช่าง ฝ่ายบริการ และนักบิน แต่ละกลุ่มมีความเสี่ยงด้านสุขภาพที่แตกต่างกัน
“เราต้องการให้ระบบนี้เป็นมากกว่าแค่บริการตรวจสุขภาพประจำปี แต่เป็นระบบข้อมูลสุขภาพที่สามารถวิเคราะห์และติดตามแนวโน้มได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้องค์กรเข้าใจและบริหารจัดการสุขภาพพนักงานในเชิงลึกมากขึ้น” นางจันทริกา กล่าว
เธอยังย้ำว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็น “การเปลี่ยนบทบาทของฝ่ายทรัพยากรบุคคลจากผู้บริหาร สวัสดิการ ไปสู่ผู้บริหารสุขภาพเชิงกลยุทธ์ (Strategic Health Management)” ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรในภาพรวมได้อย่างยั่งยืน พร้อมเป็นต้นแบบให้กับองค์กรขนาดใหญ่ในประเทศที่กำลังเดินหน้าสู่ แนวคิด People-Centric Organization โดยมีเครือโรงพยาบาลพญาไท–เปาโล เข้ามาเป็นพันธมิตรสำคัญในการร่วมบริหารจัดการสุขภาพระดับองค์กร และร่วมวางระบบ “Healthcare Connect to Workplace” ให้สอดคล้องกับบริบทการทำงานจริงของพนักงานการบินไทยในทุกระดับ
“การดูแลสุขภาพของพนักงานคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดขององค์กร เพราะคนคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของการบินไทย” นางจันทริกา กล่าว
ปัจจุบัน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นองค์กรธุรกิจการบินชั้นนำระดับประเทศที่มีพนักงานมากกว่า 10,000 คน เครือพญาไท–เปาโล ยังเป็นพันธมิตรกับสำนักงานประกันสังคม พร้อมดูแลรองรับผู้ประกันตนให้เข้าถึงบริการสุขภาพอย่างทั่วถึง ในปี 2569 กลุ่มโรงพยาบาลพรีเมียมในเครือพญาไท–เปาโล ทั้ง 8 แห่ง ร่วมกันออกแคมเปญ “เลือก 1 เข้ารับการรักษาได้ถึง 8 โรงพยาบาล และ 13 คลินิกเครือข่าย”
เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนในการเข้ารับการรักษาพยาบาลภายใต้สิทธิประกันสังคม
“พญาไท–เปาโล” เดินหน้าขยายเครือข่ายสุขภาพครอบคลุม – ใกล้ขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น
นอกจากความร่วมมือกับการบินไทยแล้ว ปัจจุบัน เครือพญาไท–เปาโล ยังได้ขยายเครือข่ายคลินิกสุขภาพร่วมกับองค์กรต่างๆ รวมทั้งสิ้น 29 สาขา ทั่วประเทศ แบ่งเป็น สหคลินิก 12 สาขา และ คลินิกเวชกรรม 17 สาขา เพื่อให้บริการประชาชนและบุคลากรขององค์กรพันธมิตรได้อย่างทั่วถึง โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยังโรงพยาบาลหลัก
โดยขอบเขตการให้บริการของคลินิกเครือข่ายฯ ที่สามารถเข้าถึงได้ตามสิทธิของสำนักงานแพทย์ (สวัสดิการแรงงานตามกฎหมายกำหนด) ได้แก่
- ให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพ และจ่ายยาตามอาการ
- พบแพทย์ตามช่วงเวลา มีแพทย์ประจำทุกวัน กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินสามารถเข้าพบแพทย์ได้ทันที
- ปฐมพยาบาลและทำแผล
- ให้บริการเวชภัณฑ์และยาเบื้องต้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น ยาบรรเทาปวดลดไข้, ยาระบบทางเดินอาหาร, ยาระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ, ยาระบบทางเดินหายใจและแก้แพ้, ยาระบบผิวหนัง, ยาระบบประสาท (อาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน), รวมถึงยาหยอดตา ป้ายตา และยาปฏิชีวนะสำหรับอาการติดเชื้อในระบบต่าง ๆ
ทั้งหมดนี้จึงช่วยให้คนทำงานเข้าถึงบริการสุขภาพได้สะดวก รวดเร็ว และมีคุณภาพมาตรฐานเดียวกับโรงพยาบาลได้มากขึ้น
3 บทเรียนจากดีลพญาไท–เปาโล x การบินไทย สำหรับองค์กรไทยยุคใหม่
ความร่วมมือระหว่างสององค์กรชั้นนำครั้งนี้ ไม่ได้สะท้อนเพียงพลังของภาคเอกชนในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพ แต่ยังเผยให้เห็น “ทิศทางใหม่ของการบริหารคน” ที่องค์กรไทยกำลังมุ่งไป จากการให้สวัสดิการเชิงรับ สู่การออกแบบ ระบบสุขภาพเชิงรุก (Proactive Health System) ที่ผสานข้อมูล เทคโนโลยี และการแพทย์เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสมดุลระหว่าง “คน” และ “ประสิทธิภาพขององค์กร” จากกรณีศึกษานี้ สามารถสรุปเป็น 3 บทเรียนสำคัญที่องค์กรยุคใหม่ควรเรียนรู้ได้ดังนี้
- สุขภาพไม่ใช่ต้นทุน แต่คือการลงทุนระยะยาวขององค์กร
การดูแลบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ช่วยลดค่าใช้จ่ายทางอ้อมจากการลาป่วย เพิ่มขวัญกำลังใจ และยกระดับคุณภาพการทำงานในระยะยาว
- Workplace Wellness ต้องเชื่อมโยงกับกลยุทธ์ธุรกิจ
การออกแบบระบบสุขภาพที่สอดคล้องกับลักษณะงานและความเสี่ยงเฉพาะขององค์กร จะสร้างผลลัพธ์ที่วัดได้และยั่งยืนกว่าการให้สวัสดิการทั่วไป
- พันธมิตรสุขภาพคือแรงขับเคลื่อนสำคัญขององค์กรยุคใหม่
การจับมือกับสถาบันทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานสูง จะช่วยให้องค์กรมีระบบบริหารสุขภาพที่แข็งแรง รองรับทั้งการป้องกันและการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความร่วมมือ “Partnership: Healthcare Connect to Workplace” จึงไม่เพียงเปลี่ยนมุมมองของวงการเฮลท์แคร์ แต่ยังเปลี่ยน “บทบาทขององค์กร” ให้กลายเป็นผู้สร้างสุขภาพอย่างยั่งยืนสำหรับคนไทยในอนาคต



