การแก้โลกร้อนจะล้มเหลว หากยังละเลย “ระบบอาหารที่เป็นธรรม”

องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย (World Animal Protection Thailand) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร จัดเวทีเสวนา Just Food Transition: Climate Solutions on Our Plate” ณ โรงแรม ASAI Bangkok Sathorn ภายใต้งาน Bangkok Climate Action Week เพื่อเตือนสังคมว่าระบบฟาร์มเชิงอุตสาหกรรม คือหนึ่งในตัวการหลักที่ผลักโลกเข้าสู่วิกฤตภูมิอากาศ และหากยังคงเพิกเฉยต่อการเปลี่ยนผ่านระบบอาหารที่เป็นธรรม การแก้ไขปัญหาวิกฤติโลกร้อน จะไม่มีทางบรรลุผล ขณะเดียวกัน Bangkok Climate Action Week เองก็มุ่งสร้างระบบนิเวศการลงมือทำด้านสภาพภูมิอากาศที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนเชื่อมโยงกัน และสร้างผลลัพธ์เชิงนโยบายหรือแนวทางปฏิบัติที่จับต้องได้ พร้อมยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และต้นแบบการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค

เสียงจากเวทีเสวนา

โชคดี สมิทธิ์กิตติผล หัวหน้าฝ่ายโครงการ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า “ทุกปีมีสัตว์เกือบ 80,000 ล้านตัวถูกเลี้ยงและฆ่าเพื่อเป็นอาหาร โดยกว่า 70% อยู่ในฟาร์มเชิงอุตสาหกรรมที่โหดร้ายและเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญต่อวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อม จากรายงานดัชนีฟาร์มอุตสาหกรรม (Factory Farming Index) ของเราที่กำลังจะปล่อยสู่สาธารณะเร็วๆนี้ ชี้ให้เห็นว่าระบบนี้ขยายตัวทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และหากรัฐบาลแต่ละแห่งไม่สามารถหยุดการขยายตัวของอุตสาหกรรมนี้ได้ เราจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตโลกร้อน ทุกภาคส่วนต้องทำงานเพื่อมุ่งไปสู่การเปลี่ยนผ่านระบบอาหารที่เป็นธรรม มีมนุษยธรรม และยั่งยืนอย่างเร่งด่วน”

วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการ มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) กล่าวว่า “ฟาร์มเชิงอุตสาหกรรมกำลังทำลายรากเหง้าของเราทั้งดิน น้ำ และความหลากหลายทางพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ ข้าวโพดที่ปลูกเลี้ยงสัตว์คือหนึ่งในสาเหตุใหญ่ที่สำคัญของปัญหาดินโคลนถล่ม น้ำท่วม และฝุ่นพิษในภาคเหนือ ขณะเดียวกันพันธุ์หมูและไก่ดั้งเดิมของไทยก็กำลังสูญหาย ถูกผูกขาดโดยเพียง 4 บริษัทใหญ่ทั่วโลก การใช้ยาปฏิชีวนะมหาศาลยิ่งซ้ำเติมจนเราเสี่ยงต่อวิกฤตเชื้อดื้อยา นี่คือหายนะของนิเวศเกษตรที่แท้จริง แต่เงินอุดหนุนปีละกว่าหนึ่งแสนล้านบาทกลับไม่ถึงเกษตรกรรายย่อยเลย ทั้งหมดไหลไปสู่อุตสาหกรรมใหญ่ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันมาอุดหนุนเกษตรกรรมยั่งยืน และสร้าง Green Credit ให้เกษตรกรได้ลืมตาอ้าปาก”

ศนีกานต์ รศมนตรี ผู้อำนวยการ ซิเนอร์เจีย แอนนิมอล ในประเทศไทย (Sinergia Animal) กล่าวว่า “วันนี้ในประเทศไทยมีแม่ไก่ไข่กว่า 54 ล้านชีวิตที่ถูกขังในกรงตับแคบ ๆ พื้นที่ภายในเล็กกว่ากระดาษ A4 ไม่สามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้อย่างเช่นกางปีกได้อย่างเต็มที่ ต้องออกไข่วันละ 45 ล้านฟอง นี่คือชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่ระบบนี้ยังดำรงอยู่เพราะธนาคารและสถาบันการเงินยังคงปล่อยกู้ให้กับฟาร์มเชิงอุตสาหกรรม เราจึงต้องร่วมกันผลักดันให้ภาคการเงินหันหลังให้กับความโหดร้าย และหันมาสนับสนุนระบบที่เป็นมิตรต่อสัตว์และสิ่งแวดล้อม เช่น ไข่ไก่ไร้กรงและโปรตีนจากพืช ผ่านแคมเปญระดับโลก Stop Financing Factory Farming และ Bank for Animals ที่เรากำลังดำเนินการอยู่”

ดร.วนัน เพิ่มพิบูลย์ ผู้อำนวยการบริหาร Climate Watch Thailand กล่าวว่า “ประเทศพัฒนาแล้วสัญญาจะให้เงินช่วยเหลือภูมิอากาศปีละ 100 พันล้านดอลลาร์ แต่กลับอุดหนุนอุตสาหกรรมการเกษตรที่ทำลายโลกกว่า 470 พันล้านดอลลาร์แทน เงินที่ถึงเกษตรกรรายย่อยมีไม่ถึง 2% และส่วนใหญ่ยังเป็นเงินกู้ นอกจากความไม่เป็นธรรมด้านการเงิน เรายังเห็นทางออกลวงหรือ False Solutions เช่น การซื้อขายคาร์บอน เครดิต Net Zero และ Smart Agriculture ที่ถูกใช้เพื่อฟอกเขียวให้บรรษัทใหญ่ ทั้งที่ปัญหาจริงคือการผลิตเชิงอุตสาหกรรมที่เกินขอบเขต หากเราไม่ Break Free จากทุนผูกขาดและหยุดพึ่งพา False Solutions การเปลี่ยนผ่านก็จะยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น เงินช่วยเหลือด้านภูมิอากาศต้องเป็นเงินให้เปล่า และต้องลงไปถึงผู้หญิง เกษตรกรรายย่อย และชุมชนชายขอบที่ได้รับผลกระทบจริง ๆ”

ระบบอาหารที่ยั่งยืน เริ่มต้นจากความเป็นธรรม

เวที Just Food Transition สะท้อนตรงกันว่าทางออกของวิกฤตอาหารและภูมิอากาศอยู่ที่เกษตรกรรายย่อย ไม่ใช่บรรษัทใหญ่ แผ้ว ภิรมย์ ผู้จัดการแคมเปญระบบอาหาร องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทยชี้ว่า การเปลี่ยนผ่านต้องทำอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน เพื่อปลดปล่อยเกษตรกรจากวงจรหนี้และทำให้ผู้บริโภคมีข้อมูลจริงในการเลือกอาหาร โดยยกตัวอย่าง โครงการฟาร์มแชมเปี้ยน ที่ดำเนินต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 2 แล้ว ซึ่งพิสูจน์ว่าการทำฟาร์มที่เคารพสิ่งแวดล้อม สร้างรายได้อย่างเป็นธรรม และคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์คือทางออกที่จับต้องได้ ขณะที่ ธวัชชัย พวงจันทร์ จากพลูโตฟาร์ม ย้ำว่าฟาร์มที่ให้สัตว์มีอิสระ ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ และทำงานเชื่อมโยงกับชุมชน ควรเป็นโมเดลที่รัฐสนับสนุน แทนการผลักเกษตรกรไปสู่หนี้สินเพิ่ม

พงศ์ภูนาถ รุ่งเรือง จากฟาร์มสเตย์ไร่คืนรัง เสริมว่าการยกระดับเกษตรกรรายย่อยให้เป็นฟาร์มแชมเปี้ยนโมเดล เชื่อมโยงกับเกษตรนิเวศ (Agroecology) และศูนย์กลางอาหารท้องถิ่น (local food hub) จะช่วยให้อาหารยั่งยืนไม่ถูกมองว่าเป็นของเฉพาะกลุ่ม แต่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนเข้าถึงได้ เช่นเดียวกับ เจนนิเฟอร์ อินเนส-เทลเลอร์ จากอุดรออร์แกนิคฟาร์ม ที่เน้นว่า “ดินดี = อาหารดี = สุขภาพดี” พร้อมชี้ว่าสิ่งจำเป็นที่สุดคือการสร้าง hub ตลาดท้องถิ่นที่ลดคาร์บอน เปิดโอกาสให้เกษตรกรรายย่อยเป็นผู้ประกอบการอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็มีพลังในการสร้างความต้องการอาหารยั่งยืน ผ่านการเลือกซื้อและการเล่าเรื่องในสังคมออนไลน์ เพื่อผลักดันให้ระบบอาหารที่ยั่งยืนเติบโตต่อไป

เวที Bangkok Climate Action Week ครั้งนี้ ตอกย้ำการส่งสัญญาณชัดเจนว่า สังคมไม่อาจนิ่งเฉยต่อวิกฤตภูมิอากาศได้อีกต่อไป ขณะเดียวกันยังสะท้อนว่าภาคประชาสังคมและเกษตรกรรายย่อยได้ลงมือเปลี่ยนแปลงและผลักดันมาโดยตลอด ความท้าทายที่แท้จริงคือการทำให้เสียงเหล่านี้ถูกนำไปสู่การกำหนดนโยบายของภาครัฐ ผู้นำระดับโลก และเวทีการเจรจา COP เพื่อเร่งผลักดันมาตรการควบคุมบรรษัทขนาดใหญ่ที่ครอบงำระบบอาหารและสร้างผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศโลก พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผู้บริโภค และสังคมวงกว้างเกิดการตระหนักและลงมือทำอย่างเร่งด่วน เพื่อพลิกทิศทางสู่ระบบอาหารที่ยั่งยืนและเป็นธรรมสำหรับทุกชีวิต