ประเทศไทย…จะรอด หรือร่วง? เมื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ใช่ทางรอดตลอดไป

ท่ามกลางเสียงหัวเราะแห่งสงกรานต์ ที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ผู้คนสาดน้ำกันอย่างมีความสุข เสียงดนตรีดังกระหึ่มจนดูเหมือนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง

แต่หากเราหยุดฟังให้เงียบพอ เราจะได้ยินเสียงอีกชุดหนึ่ง เสียงลมหายใจของภาคการท่องเที่ยวที่กำลังหอบเหนื่อย หลังจากต้องแบกรับเศรษฐกิจประเทศเกือบทั้งระบบมายาวนานเกินไป

ประเทศไทยอาจยังไม่ “ล่มสลาย” แต่รอยร้าวเริ่มปริให้เห็นชัดเจน และหากเราไม่เปลี่ยนแปลง วันนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินซ้ำรอยเมืองท่องเที่ยวชื่อก้องโลกอย่างเม็กซิโก เมืองที่เคยเจริญรุ่งเรืองด้วยนักท่องเที่ยว แต่สุดท้ายกลับเงียบเหงาเพราะรัฐปล่อยให้ “มาเฟีย” ครองเมือง และโครงสร้างเศรษฐกิจพังพินาศ

เศรษฐกิจที่ฝากชีวิตไว้กับกระเป๋านักท่องเที่ยว

ก่อนเกิดโควิด-19 ประเทศไทยเคยต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนมากถึง 11 ล้านคน ในปี 2019 ซึ่งคิดเป็นเกือบ 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด และทำรายได้เข้าประเทศกว่า 5 แสนล้านบาท จากกลุ่มนี้เพียงกลุ่มเดียว

แต่ปี 2024 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเพียง 6.7 ล้านคน เท่านั้น แม้ประเทศไทยจะยกเลิกวีซ่าถาวรสำหรับนักท่องเที่ยวจีนตั้งแต่เดือนมีนาคม ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่

การลดลงนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่มันสะท้อน “ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง” ที่แสดงให้เห็นว่า หากไทยไม่มีนักท่องเที่ยว… เราแทบไม่มีรายได้สำรองจริงๆ

แดนสวรรค์ที่กำลังเปลี่ยนเป็นแดนเถื่อน?
คำถามคือ… ทำไมนักท่องเที่ยวถึงไม่กลับมา?
1. เพราะเขากลัว จากกรณีข่าว “ดาราชาวจีน” ที่ถูกลักพาตัวผ่านไทยไปยังเมียนมา จนกลายเป็นข่าวดังในจีน พร้อมกับสื่อหลายสำนักออกมาเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังการเดินทางในประเทศไทย

2. เพราะเขาไม่มั่นใจ ข่าวเกี่ยวกับ “มาเฟียจีน” ที่เข้ามาซื้อกิจการในพัทยา, ภูเก็ต, เชียงใหม่ รวมถึงธุรกิจสีเทาที่โยงใยกับตำรวจ-ทหาร-นักการเมืองไทย ถูกเปิดโปงต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่กลับไม่มีการดำเนินคดีหรือเอาผิดกับข้าราชการระดับสูงแม้แต่รายเดียว

3. เพราะภาพลักษณ์เสียหาย โซเชียลมีเดียจีนมีการแชร์คลิป “การอุ้มนักท่องเที่ยว”, “การต้มตุ๋น”, “การเรียกเงินสินบน” และ “การทุจริตในระบบราชการ” แบบไม่หยุดหย่อน ภาพลักษณ์ไทยในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีนและเกาหลีใต้ จึงกลายเป็น “ดินแดนที่ไม่ปลอดภัย”

ประเทศไทยกำลังติดกับดักเศรษฐกิจเก่า
ประเทศไทยยังพึ่งพาการท่องเที่ยว, อสังหาริมทรัพย์, และค้าปลีกในระบบทุนผูกขาด โดยไม่ได้สร้าง “เศรษฐกิจใหม่” ที่ยั่งยืนได้จริง

– การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) อยู่ที่เพียง 1.14% ของ GDP ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศที่เน้นนวัตกรรม เช่น เกาหลีใต้ (4.8%) หรือสิงคโปร์ (2.1%)

– ระบบการศึกษายังผลิตแรงงานท่องจำ มากกว่านักคิด นักสร้าง

– นวัตกรรมไทยยังคงอยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่ถูกผลักเข้าสู่ตลาด

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าประเทศไทยยังไม่มี “ขาเศรษฐกิจใหม่” ที่มั่นคงพอ หากการท่องเที่ยวทรุดต่อไป

เม็กซิโก ตัวอย่างที่หลงตัวเอง จนไม่เหลือใคร

เมืองตากอากาศอย่างเม็กซิโกเคยได้รับ ความนิยมเป็นอันดับต้นๆ แต่การเติบโตของกลุ่มอาชญากรรมและการทุจริตเชิงโครงสร้าง กลับทำให้เมืองนี้พังพินาศ นักท่องเที่ยวหนีหาย ธุรกิจท้องถิ่นปิดตัว และวันนี้ เหลือไว้เพียงโปสเตอร์จากอดีต

ประเทศไทยจะเดินซ้ำรอยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเรากล้าปรับโครงสร้างหรือยัง?

ถ้าไม่ใช่ท่องเที่ยว แล้วไทยจะรอดด้วยอะไร?

1. อาหารและเกษตรขั้นสูง (AgriTech)
สร้าง Smart Farming / ส่งออกโปรตีนสะอาด / นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต

2. การแพทย์และสุขภาพอัจฉริยะ (HealthTech)
พัฒนาเทคโนโลยีรักษาโรค, อุปกรณ์แพทย์, และ Medical AI

3. พลังงานสะอาดและ EV
ตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่, พัฒนา Hydrogen Economy, ขยาย EV Ecosystem

4. Digital Economy และ AI
สร้างระบบ AI ที่ใช้จริงในธุรกิจไทย, ยกระดับแรงงานให้ใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Soft Power)
ผลักดันเกม, เพลง, แอนิเมชัน, ศิลปะไทยสู่ตลาดโลกอย่างมีโครงสร้าง

เราจะรอด ถ้าเรากล้ารื้อ

ประเทศไทยยังมีทุกอย่างพร้อม คนที่เก่ง แรงงานที่พอมีต้นทุนต่ำ ทรัพยากรที่ดี และตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม

แต่ถ้าเรายัง “ประเมินความสำเร็จจากภาพนักท่องเที่ยวสงกรานต์” แล้วหลงว่าเศรษฐกิจกลับมาแล้ว
เราอาจต้องใช้เวลาอีก 30 ปี เพื่อฟื้นจากหายนะ

ถ้าเราไม่กล้าเปลี่ยนประเทศไทย… มาเฟียจะเปลี่ยนประเทศไทยแทนเรา และไม่ใช่ในทางที่เราฝันไว้แน่นอน