บ๊อช จับมือภาคีเครือข่ายสรุปผลโครงการ “บลู สกาย” โครงการความร่วมมือระหว่างบ๊อช ประเทศไทย และหน่วยงานท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหามลภาวะทางอากาศในประเทศไทย

บ๊อช จับมือภาคีเครือข่ายสรุปผลโครงการบลู สกาย” โครงการความร่วมมือระหว่างบ๊อช ประเทศไทย และหน่วยงานท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหามลภาวะทางอากาศในประเทศไทย

  • เทคโนโลยีตรวจวัดคุณภาพอากาศ (air quality monitoring box) ของ บ๊อช และเซนเซอร์อากาศ DustBoy โดยทีมวิจัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สนับสนุนแนวคิดโครงการ “บลู สกาย
  • การปลูกพรรณไม้สู้ฝุ่น และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวช่วยดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กและบรรเทามลภาวะทางอากาศ
  • การประสานความร่วมมือของภาคีเครือข่ายคือดัชนีชี้วัดความสำเร็จโครงการ
  • เทคโนโลยีและโซลูชันระบบส่งกำลังที่มีประสิทธิภาพมีส่วนช่วยในการลดผลกระทบจากปัญหามลพิษทางอากาศ

 

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, 31 พฤษภาคม 2565 – บ๊อช ร่วมกับ สภาลมหายใจเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และตัวแทนครัวเรือนอาสาสมัครในชุมชนหมื่นสารจังหวัดเชียงใหม่ เผยผลสรุปโครงการ “บลู สกาย” โครงการความร่วมมือเพื่อช่วยบรรเทาปัญหามลภาวะทางอากาศในจังหวัดเชียงใหม่ภายใต้แนวคิดโครงการ “บ้านสู้ฝุ่น” ซึ่งริเริ่มโดย สภาลมหายใจเชียงใหม่ ในการจัดการพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกพรรณไม้สู้ฝุ่นในครัวเรือนเพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นละอองขนาดเล็กในจังหวัดเชียงใหม่ ผลสรุปของโครงการพบว่าการปลูกพรรณไม้สู้ฝุ่นจะช่วยยกระดับคุณภาพอากาศและลดปริมาณฝุ่นละอองมากน้อยอย่างไรนั้น ขึ้นกับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ สภาพอากาศ กิจกรรมในชีวิตประจำวันของครัวเรือนอาสาสมัคร รวมถึงจำนวนพรรณไม้ที่ปลูกและตำแหน่งการวาง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการเก็บข้อมูลคุณภาพอากาศด้วย

อย่างไรก็ดี การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีจากบ๊อชมีส่วนช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถเข้าถึงข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ จากการประมวลผลด้วยเซนเซอร์ประสิทธิภาพสูง ข้อมูลเชิงลึก เช่น ส่วนประกอบก๊าซประเภทต่างๆ ในอากาศเป็นข้อมูลสำคัญที่ต่อยอดไปสู่ความเข้าใจในสาเหตุการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ เพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกันและบรรเทามลภาวะทางอากาศ เช่น การจัดการฝุ่นควันที่เกิดจากการเผาทางการเกษตร หรือมลภาวะจากการจราจรบนท้องถนน เป็นต้น

เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 บ๊อชได้ริเริ่มโครงการ “บลู สกาย” ดำเนินการติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละออง (air quality monitoring box) ในบริเวณชุมชนหมื่นสาร และร่วมมือกับศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในโครงการ “บ้านสู้ฝุ่น” สนับสนุนการติดตั้งเครื่องวัดฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ Dust Boy ในครัวเรือนอาสาสมัคร โดยโครงการ “บลูสกาย” ใช้เทคโนโลยีเซนเซอร์ประสิทธิภาพสูงจากบ๊อชประมวลผลและนำเสนอดัชนีคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ และนำข้อมูลปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในบริเวณพื้นที่รอบชุมชนหมื่นสารที่วัดได้ มาเปรียบเทียบกับข้อมูลคุณภาพอากาศ จากเครื่อง DustBoy ในครัวเรือนอาสาสมัครชุมชนหมื่นสารที่เข้าร่วมโครงการ “บ้านสู้ฝุ่น” และสนับสนุนการแจกพรรณไม้สู้ฝุ่นที่มีคุณสมบัติในการดูดซับฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ให้แก่อาสาสมัครในชุมชนหมื่นสาร แนวคิดพรรณไม้สู้ฝุ่นมีงานวิจัยสนับสนุนโดย ผศ.ดร. เยาวนิตย์ ธาราฉาย อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีภูมิทัศน์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ปัจจุบัน โครงการบลู สกายได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โจเซฟ ฮง กรรมการผู้จัดการ บ๊อช ประเทศไทย และประเทศลาว กล่าวว่า “สถานการณ์มลภาวะทางอากาศของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้คน บ๊อชให้ความสำคัญกับการสรรสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ที่สอดคล้องไปกับทิศทางการขยายตัวของสังคมเมืองทั้งในประเทศไทย และระดับโลก เทคโนโลยีที่มีส่วนช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศนี้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้คนอย่างยั่งยืน”

รศ.ดร. สมพร จันทระ หัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า “ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระดับฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และระดับมลภาวะทางอากาศในจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและสุขภาพของประชาชนชาวเชียงใหม่อย่างรุนแรง ความร่วมมือกับบ๊อช ในการนำเอาเทคโนโลยีที่สามารถติดตามสถานการณ์ค่าดัชนีคุณภาพอากาศในบริเวณที่กำหนด ควบคู่ไปกับการเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในชุมชน ช่วยสนับสนุนการต่อยอด คิดค้นการศึกษาวิจัยอื่นๆ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ได้อย่างยั่งยืน”

รศ.ดร. เศรษฐ์ สัมภัตตะกุล ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เผยถึงผลสรุปโครงการ “บลู สกาย” ว่า เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองของบ๊อช นั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนแนวความคิดของโครงการ “บ้านสู้ฝุ่น” เพราะการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของดัชนีคุณภาพอากาศและค่าฝุ่นละอองได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เป็นก้าวแรกที่สำคัญของการจัดการปัญหาฝุ่นละอองได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน อย่างไรก็ตาม พบว่าในปีที่ผ่านมาจังหวัดเชียงใหม่ประสบกับสภาพอากาศที่แปรปรวน มีปริมาณฝนมากกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า รวมทั้งตัวแปรเกี่ยวกับจำนวนและตำแหน่งการปลูกพรรณไม้สู้ฝุ่นในบริเวณพื้นที่โครงการ และกิจกรรมในชีวิตประจำวันของครัวเรือนอาสาสมัครในช่วงการระบาดของโควิด ล้วนส่งผลต่อปริมาณฝุ่นซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ในช่วงกรอบเวลาของการดำเนินโครงการ ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถสรุปผลได้อย่างมีนัยสำคัญว่า พรรณไม้ที่ปลูกเพิ่มในครัวเรือนของอาสาสมัครในโครงการช่วยลดฝุ่นควันในอากาศได้มากน้อยเพียงใด ด้วยเหตุและปัจจัยดังที่กล่าวมานั้น แต่การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในครัวเรือน รวมไปถึงในพื้นที่สาธารณะ ย่อมมีส่วนช่วยลดความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ โครงการ “บลู สกาย” นับได้ว่าเป็นความริเริ่มที่สำคัญในการสะท้อนความพยายามของหลายภาคส่วนที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้ในการสร้างพื้นที่สีเขียวซึ่งมีงานวิจัยรองรับแล้วว่าสามารถช่วยดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ และสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีในการสนับสนุนให้ครัวเรือนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินรอยตาม

สุรีรัตน์ ตรีมรรคา รองประธานคณะกรรมการอำนวยการ สภาลมหายใจเชียงใหม่ กล่าวว่า “ปัญหามลภาวะในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีมาอย่างยาวนาน ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนในการบรรเทาปัญหาและสร้างความตระหนักรู้ในการสร้างพื้นที่สีเขียว การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีจากบ๊อช พันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ในการช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทย ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาคเอกชนอันจะนำไปสู่การบรรเทาปัญหามลภาวะทางอากาศในจังหวัดเชียงใหม่และในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน หนึ่งในตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการนี้คือ การที่พวกเราร่วมกันสร้างแรงกระเพื่อมที่จะช่วยผลักดันให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพอากาศรอบตัวมากขึ้น”

สนิท บุญแลน ตัวแทนชุมชนหมื่นสาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวเสริมว่า “ในฐานะคนเชียงใหม่ มลภาวะทางอากาศส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ ซึ่งสาเหตุหลักของปัญหานี้ก็มาจากฝุ่นควันจากการเดินทาง การก่อสร้าง การเผาพืชผลทางการเกษตรตามฤดูกาลที่สะสมมายาวนาน หากมีการร่วมมือกันทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงการมีส่วนร่วมของครัวเรือนในการช่วยลดมลภาวะทางอากาศ ก็จะส่งผลให้ประชาชนชาวเชียงใหม่สามารถใช้ชีวิตในพื้นที่ที่มีอากาศสะอาด มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งยังช่วยให้นักท่องเที่ยวกลับคืนมายังจังหวัดเชียงใหม่อีกครั้ง“

ก้าวต่อไปของบ๊อชและความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน

จำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นย่อมส่งผลต่อการขยายตัวของสังคมเมือง ปัญหามลภาวะทางอากาศจากภาคการขนส่งนั้นเป็นสาเหตุหลักของปัญหาฝุ่นควัน ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันบริหารจัดการ ในฐานะองค์กรนวัตกรรม บ๊อช หวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะใช้ประโยชน์จากโครงการนี้ เป็นกรณีศึกษาของการใช้เทคโนโลยีเพื่อบรรเทาปัญหามลพิษทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นการประสานความร่วมมือของหลายภาคส่วนร่วมรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ กระตุ้นภาคประชาชน ให้มีส่วนร่วมสร้างพื้นที่สีเขียวเพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศและสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสัญจรอย่างยั่งยืน (Sustainable Mobility) อันจะนำพาประเทศไทยมุ่งสู่สังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

“บ๊อช ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต มีแนวคิดการออกแบบระบบส่งกำลังยานยนต์ประสิทธิภาพสูงให้ครอบคลุมความต้องการเทคโนโลยีขับเคลื่อนที่หลากหลายก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยียานยนต์ไปยังการสัญจรแบบไร้มลพิษในอนาคต ตอบโจทย์การสัญจรที่มีเป้าหมายสู่ความยั่งยืน” ฮง กล่าวปิดท้าย

 

เกี่ยวกับกลุ่มบ๊อชในประเทศไทย

บ๊อชได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยตั้งแต่พ.ศ. 2466 ปัจจุบัน บ๊อชสร้างความหลากหลายในธุรกิจถึง 4 ด้าน ได้แก่ โซลูชั่นส์แห่งการขับเคลื่อน เทคโนโลยีอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค และเทคโนโลยีพลังงานและอาคาร บริษัทมีโรงงานผลิตในธุรกิจโซลูชั่นส์แห่งการขับเคลื่อนสองแห่ง พร้อมทั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา อีกทั้งสำนักงานขายและศูนย์บริการสำหรับอุปกรณ์ไฮดรอลิกและเครื่องจักรในจังหวัดระยอง ในปีที่ผ่านมา บ๊อชในประเทศไทยมีพนักงานกว่า 1,200 คน ข้อมูลเพิ่มเติม: http://www.bosch.co.th และ https://www.facebook.com/BoschThailand

 

เกี่ยวกับกลุ่มบ๊อช

กลุ่มบริษัทบ๊อช ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีและบริการชั้นนำของโลก มีพนักงานทั่วโลกกว่า 402,600 คน (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564) บริษัทมียอดขายรวมทั้งสิ้นกว่า 78.7 พันล้านยูโร โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 4 กลุ่มธุรกิจสำคัญได้แก่ กลุ่มโซลูชันส์แห่งการขับเคลื่อน กลุ่มเทคโนโลยีอุตสาหกรรม กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานและอาคาร ในฐานะผู้นำทางด้าน IoT (Internet of Things) บ๊อช นำเสนอนวัตกรรมโซลูชั่นส์ เพื่อบ้านอัจฉริยะ อุตสาหกรรม 4.0 และระบบการขับเคลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อถึงกัน บ๊อชยืนหยัดในวิสัยทัศน์ที่ช่วยให้การขับเคลื่อนเป็นไปด้วยความยั่งยืน ปลอดภัย และมีความน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีเซนเซอร์ ซอฟท์แวร์ และการให้บริการ รวมถึงไอโอทีคลาวด์ของบ๊อชเอง เราจึงสามารถให้บริการโซลูชั่นส์ที่เชื่อมต่อแบบข้ามโดเมนได้เบ็ดเสร็จจากแหล่งเดียว เป้าหมายกลยุทธ์ของเราคือเอื้ออำนวยการใช้ชีวิตที่เชื่อมต่อด้วยผลิตภัณฑ์หรือโซลูชั่นซึ่งมีส่วนประกอบหรือได้รับการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ บ๊อช พัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรมและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วทุกมุมโลก ซึ่งนับได้ว่าเป็น “เทคโนโลยีเพื่อชีวิต” กลุ่มบริษัทบ๊อช ประกอบด้วยบริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จีเอ็มบีเอช และบริษัทในเครืออีกกว่า 440 บริษัท รวมถึงสำนักงานระดับภูมิภาคในประเทศต่างๆ กว่า 60 ประเทศ หากรวมบริษัทคู่ค้าผู้จัดจำหน่ายและให้บริการต่าง ๆ ทั้งส่วนการผลิต งานวิศวกรรม และเครือข่ายด้านการขาย บ๊อชครอบคลุมอยู่เกือบทุกประเทศทั่วโลก ด้วยที่ตั้งมากกว่า 400 แห่งทั่วโลก กลุ่มบริษัทบ๊อชสามารถบรรลุความเป็นกลางคาร์บอนตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2563 เพราะพื้นฐานสำคัญสำหรับการขยายตัวในอนาคตของบริษัทขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรม บริษัทจึงมีพนักงานในส่วนการวิจัยและพัฒนากว่า 76,100 คน ในศูนย์วิจัยและพัฒนากว่า 128 แห่งทั่วโลก รวมทั้งวิศวกรซอฟต์แวร์อีกกว่า 38,000 คน

 

บริษัทก่อตั้งขึ้น ในปีพ.ศ. 2429 ณ เมืองชตุทท์การ์ท ประเทศเยอรมนี โดย มร.โรเบิร์ต บ๊อช (พ.ศ. 2404 – 2485) โดยเริ่มการเปิด “ศูนย์วิศวกรรมการออกแบบเพื่อความแม่นยำเชิงกลศาสตร์และวิศวกรรมไฟฟ้า” ด้วยโครงสร้างที่พิเศษของ โรเบิร์ต บ๊อช ทำให้บริษัทมีอิสระในการดำเนินงาน สามารถวางแผนในระยะยาว และตัดสินใจลงทุนได้อย่างทันท่วงทีเพื่อเป็นหลักประกันอนาคตให้กับบริษัท โดยมีมูลนิธิ โรเบิร์ต บ๊อช เป็นผู้ถือหุ้นหลักในการลงทุนร้อยละ 94 ของบริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จีเอ็มบีเอช ส่วนที่เหลือถือครองโดยบริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จีเอ็มบีเอช และตระกูลบ๊อช ทั้งนี้สิทธิ์ในการลงคะแนนและอำนาจในการบริหารจัดการในฐานะผู้ประกอบการอยู่ภายใต้การดูแลของคณะผู้บริหารซึ่งเป็นผู้จัดการทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม (Robert Bosch Industrietreuhand KG)

 

ข้อมูลเพิ่มเติม www.bosch.com , www.iot.bosch.com , www.bosch-press.com , https://twitter.com/BoschPress , www.bosch.co.th