KCG ประกาศความสำเร็จปี 2567 ในการเป็นผู้นำอาหารเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ พร้อมเผยแนวทางการรุกตลาดในปี 2568

บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์จัดงาน “KCG ENJOY EATING DAY” เผย 3 กุญแจสู่ความสำเร็จปี2567 ในการเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อโมเดิร์น ไลฟ์สไตล์ด้วยการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ 7 Business Pillars อย่างต่อเนื่อง การเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งเพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการ และการให้ความสำคัญกับนวัตกรรมที่ตอบโจทย์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ พร้อมประกาศความสำเร็จในปี2567 ด้วยมื้ออาหารที่สะท้อนความสุขของคนยุคปัจจุบันผ่านเมนูจากเซเลบริตี้เชฟของ KCG เพื่อตอกย้ำว่า KCG ไม่ได้มีดีแค่คุกกี้กล่องแดง แต่เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแบรนด์คุณภาพจากทั่วโลก ความสำเร็จในปี2567 ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ของ KCG

นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผอู้ำนวยการ บริษัท เคซีจีคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG กล่าวว่า ปี2567 เป็นอีกปีที่ KCG ประสบความสำเร็จใน 3 มิติด้วยกัน ได้แก่

  1. การสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
  • การเป็นผู้นำด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์Dairy Products ในกลุ่มเนยและชีสอันดับ 1 ในประเทศไทย โดยในไตรมาส 3/2567 สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์เนยได้ถึง 55% และผลิตภัณฑ์ชีส 31.6% รวมยอดขายผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมมูลค่า 1,063.4 ล้านบาท อีกทั้ง KCG ยังเป็น Top 3 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี (FBI) ซึ่งในไตรมาส 3/2567 ผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเค้กและแพนเค้กมีส่วนแบ่งการตลาด 14.2% และผลิตภัณฑ์ยีสต์มีส่วนแบ่งการตลาด 9.2% รวมยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี (FBI) 507.8 ล้านบาท และกลุ่มผลิตภัณฑ์Biscuits ซึ่งในไตรมาส 3/2567 มีส่วนแบ่งการตลาด 26.1% มูลค่า 181.4 ล้านบาท
  • การสร้างการเติบโตผ่านสินค้าในปี2567 ที่เป็นหลักไมล์ที่สำคัญ ได้แก่

○ กลุ่มผลิตภัณฑ์Dairy Products อย่าง ‘แดรี่โกลด์ชีสกะเพรา’ ที่เกิดจากสิ่งที่ KCG ทำมาตลอดคือ “Fusion” ตั้งแต่

การนำวัตถุดิบอาหารตะวันตกเข้ามาในประเทศไทย การเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารตะวันตกในประเทศไทยสำเร็จ จนถึง

‘แดรี่โกลด์ชีสกะเพรา’ ที่ผสานความอร่อยระหว่างรสชาติท้องถิ่นดั้งเดิม (Localization) และ ความทันสมัย (Modernization) ที่ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกและรสชาติ

○ กลุ่มผลิตภัณฑ์Food and Bakery Ingredients มีการนำเข้าวัตถุดิบที่หลากหลายมากขึ้น เช่น เนื้อ ล็อบสเตอร์และโคลคัท กลุ่มผลิตภัณฑ์ Biscuits มี IMPERIAL Edible Cookie Cup แก้วกาแฟกินได้ทำจากคุกกี้อิมพีเรียลสูตรพิเศษ ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความยั่งยืน รสชาติ และประสบการณ์ของผู้บริโภค ซึ่งสร้างความตื่นเต้นตั้งแต่เวอร์ชันต้นแบบในงาน Thaifex 2567

  • การสร้าง Dynamic ผ่านช่องทางจัดจำหน่าย

สัดส่วนลูกค้าในปีนี้แบ่งเป็น B2C 53% B2B 43% และ Export 4% ซึ่งที่ผ่านมา KCG มีความแข็งแกร่งในช่องทางการขาย แบบ B2B เป็นพื้นฐาน แต่ปีนี้เราสามารถขยายสัดส่วนลูกค้า B2B และ B2C ให้เติบโตใกล้เคียงกันได้แสดงให้เห็นถึงการบริหารพอร์ตฟอลิโอของ KCG ที่ทำได้ดี

  1. SUPPLY CHAIN & INNOVATION
  • การเปิด KCG Logistics Park

○ การลงทุนกว่า 350 ล้านบาท เปิดตัว KCG Logistics Park ในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นศูนยก์ ระจายสินค้า และ

คลังสินค้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของตลาด ทั้งยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน ทั่วทั้ง 77 จังหวัด โดยเป็นการต่อยอดมาจาก 3 สาขาก่อนหน้าที่ เชียงใหม่ขอนแก่น และ สุราษฎร์ธานี ซึ่งปัจจุบัน KCG Logistics Park สามารถเปิดใช้ไดอ้ย่างเต็มศักยภาพ 95%

○ ความตั้งใจส่งมอบอาหารที่สดใหม่ให้ลูกค้า KCG มีระบบ Supply Chain & Inventory ที่ รองรับ 3 กลุ่มสินค้าหลักของ KCG ได้แก่ Dairy Products, Food and Bakery Ingredients (FBI) และ Biscuits เพื่อจัดเก็บสินค้าในโซนอุณหภูมิที่เหมาะสม และรักษาคุณภาพ ความสดใหม่ของสินค้า ก่อนส่งถึงมือผู้บริโภค

  1. SUSTAINABLE AWARDS
  • Sustainability Disclosure Acknowledgement : KCG ได้รับคัดเลือกประกาศชื่อ Sustainability Disclosure

Acknowledgement จาก สถาบันไทยพัฒน์ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานขององค์กรที่มุ่งมั่นพัฒนา ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม เพื่อให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน

  • รางวัล Investors’ Choice Award ด้วยคะแนน 100 เต็ม เป็นเพียง 1 ใน 3 บริษัทเท่านั้นที่ผ่านการประเมินคุณภาพและสามารถได้รับรางวัลในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ KCG ในการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงาน การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียอย่างเท่าเทียม และเป็นผลมาจากการที่บริษัทดำเนินการตามยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ (7 Business Pillars) 3 แนวทางการดำเนินธุรกิจในปี2568 ที่ต่อยอดมาจากการเรียนรู้ในปีที่กำลังจะผ่านไป

นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผอู้ำนวยการ บริษัท เคซีจีคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG กล่าวว่า ปี2567 ถือเป็นปีแห่งความภูมิใจของ KCG ซึ่งทำให้เรากลับมาถอดบทเรียนความสำเร็จ และนำมาเป็นแนวทางต่อยอดการดำเนินธุรกิจในปี2568 ได้ดังนี้

  1. การสานต่อยุทธศาสตร์7 Business Pillars KCG ได้ประกาศยุทธศาสตร์7 Business Pillars ซึ่งประกอบด้วย การพัฒนา 7 มิติได้แก่

1.1 มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจ (Growth)

1.2 การพัฒนาบุคลากร (People)

1.3 การขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี (Innovation Data & Tech)

1.4 การขยายตลาดส่งออก (Export)

1.5 ยกระดับศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าที่ทันสมัยและครบวงจร (Supply Chain & Inventory)

1.6 ยกระดับการผลิตโดยใช้ระบบอัตโนมัติ (Production& Automation)

1.7 การส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Development

ซึ่งความสำเร็จในปี2567 เกิดจากการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวอย่างเข้มข้น จนเกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ดังนั้น ในปี 2568 นี้ KCG จะยังคงสานต่อยุทธศาสตร์7 Business Pillars อย่างต่อเนื่องและเข้มข้นในทุกภาคส่วนขององค์กร โดยแต่ละแผนกจะต้องนำบทเรียนที่ได้ในปี 2567 มาปรับปรุงพัฒนาต่อไป

  1. ความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งเพื่อนำมาพัฒนาสินค้าและบริการจากการเฝ้าสังเกตผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด ทำให้KCG ได้เรียนรู้ว่า ผู้บริโภคในปัจจุบันใหค้ ุณค่ากับอาหารที่มากกว่าความอิ่มอร่อย ซึ่งแนวทางในการพัฒนาสินค้าและบริการของ KCG ในปี2568 จะต้องตอบโจทย์ผู้บริโภคใน 4 มิติ คือ
  • FOOD FOR SELF EXPRESSION อาหารเพื่อบ่งบอกตัวตน – ทุกวันนี้ผู้บริโภคใช้อาหารเป็นการสื่อสารตัวตนผ่านโซเชียลมีเดีย อาหารเป็นสื่อที่บ่งบอกตัวตนของผู้บริโภคว่าเป็นคนแบบใด พิถีพิถันแค่ไหน ดังนั้น สินค้าและบริการของ KCG

จะต้องช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกถึงการเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่

  • FOOD FOR CONNECTING PEOPLE อาหารเพื่อเชื่อมโยงผู้คน – อาหารเป็นสื่อกลางในการสร้างความสัมพันธ์ของผู้คน ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคมีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่แตกแขนงไปมากกว่าเดิม มีเพื่อนที่มีความสนใจเฉพาะ มี Networking ต่าง ๆ ที่ทำให้ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ดังนั้น อาหารจึงควรทำหน้าที่ให้คนมีความสัมพันธ์ที่ดขีึ้น
  • FOOD TO HEAL YOUR BODY & MIND อาหารเพื่อฮีลกายและใจ – เทรนด์การรักษาสุขภาพยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ ดังนั้น อาหารจึงควรเสิร์ฟทั้งความสุขต่อร่างกายและจิตใจไปพร้อมกัน เพื่อทำใหผ้ ู้บริโภครู้สึกดีต่อตัวเอง และไม่รู้สึกผิดที่จะรับประทาน
  • FOOD TO SAVE THE WORLD อาหารเพื่อช่วยให้โลกดีขึ้น – ผู้บริโภคมีความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การทำผลิตภัณฑ์อาหารจึงต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมไปด้วย ทั้งในเชิงที่มาของวัตถุดิบที่ต้องได้คุณภาพ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
  1. การต่อยอดนวัตกรรมที่ตอบโจทย์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ความสำเร็จของ KCG ในปี2567 เกิดจากการพัฒนานวัตกรรมอย่างเข้มข้น ซึ่ง KCG เห็นไดจ้ากการตอบรับของ “แดรี่ โกลด์ชีส กะเพรา” ซึ่งทำให้การรับประทานชีสมีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งในปี 2568 KCG จะมุ่งให้ความสำคัญกับนวัตกรรมต่อไป ทั้งในเรื่องรสชาติ วิธีการรับประทาน ฯลฯ ซึ่งทีม R&D ถือเป็นจุดแข็งของ KCG อีกด้วย รวมทั้งการเสาะแสวงหาแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพจากทั่วโลกที่จะ มาเติมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตฟอลิโอของ KCG โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าพรีเมียม เช่นเดียวกับการเข้าถึงคนรุ่นใหม่จากกลยุทธ์Partnership ซึ่งที่ผ่านมา KCG เคยจับมือกับ GREYHOUND CAFÉ ในการนำเสนอเมนู “ชีสบอร์ด” เป็นเมนูประจำการเฉลิมฉลอง ซึ่งเป็นโอกาสให้ผู้บริโภคได้รับประทานชีสในรูปแบบที่หลากหลาย พร้อมไปกับการเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ไปด้วย ซึ่งในปี2568 ที่จะถึงนี้ KCG จะยังคงหาวิธีในการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ใหไ้ด้มากขึ้นต่อไป

นอกจากนั้น การที่ KCG มี Celebrity Chef อยู่ในองค์กร เช่น เชฟบิ๊บ–ชัชชญา รักตะกนิษฐ Vice-President ของ KCG Creative Center , เชฟเมย์–พัทธนันท์ธงทอง,เชฟพลอย–ฐาติกานต์ตัณฑจินนะ KCG Ambassador Cheff ถือเป็นกุญแจสำคัญในการคิดค้นวิธีการนำเสนออาหารให้ตอบโจทย์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ซึ่งจะยิ่งช่วยให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ของ KCG ได้ดียิ่งขึ้น

“การเน้นย้ำคุณภาพของผลิตภัณฑ์จาก KCG และการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้KCG ยังคงสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้และทำให้ทุกคนเห็นว่า KCG ไม่ได้มีดแีค่คุกกี้อิมพีเรียลกล่องแดง แต่ยังมีผลิตภัณฑ์คุณภาพในพอร์ตฟอลิโอจากทั่วโลก” คุณดำรงชัยกล่าว