Looloo Technology สตาร์ตอัพไทย ผู้นำ AI พลิกธุรกิจเปลี่ยนโลก

“ไม่ต้องกลัวว่า AI จะมาครองโลกแทนคน ควรจะกลัวว่าคู่แข่งที่มี AI จะเข้ามาแทนที่คุณหรือไม่ ในอนาคตจะดีกว่า”

 

ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วความสำคัญของ Artificial Intelligence (AI) จะเป็นก้าวกระโดดทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ช่วยพัฒนาและแก้ไขปัญหาทั้งทางธุรกิจ เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทย​ เพราะมีส่วนช่วยทั้งด้านการเพิ่มผลผลิต การยกระดับการศึกษาและวิจัยทางการตลาด การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี​ ดังนั้นการพัฒนานวัตกรรม AI ในประเทศไทย จึงมีความสำคัญยิ่ง เพื่อให้เราไม่พลาดทุกการเติบโตของเทคโนโลยีในระดับโลก

หากเอ่ยถึงผู้นำ AI สัญชาติไทย ในวินาทีนี้คงหนีไม่พ้น Looloo Technology สตาร์ตอัพสัญชาติไทย ที่มีผู้บริหารและคนรุ่นใหม่หัวกะทิสายเทคโนโลยีมารวมตัวกันมากที่สุดในประเทศ  “CIO Talk”  จะพาทุกท่านไปเจาะลึกแนวคิดของ “ปริชญ์ รังสิมานนท์” หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Looloo Technology ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้า มุ่งมั่นยกระดับธุรกิจไทยให้สู้กับคู่แข่งได้ในระดับโลก

 

ปริชญ์ รังสิมานนท์

ผู้ร่วมก่อตั้ง

บริษัท ลูลู่ เทคโนโลยี จำกัด

 

“Looloo” จุดรวมตัวคนไทยหัวกะทิสาย Tech     

บริษัท ลูลู่ เทคโนโลยี จำกัด คือ ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ชั้นนำ ที่มีชื่อเสียงในการเพิ่มประสิทธิภาพ รายได้ และกำไรให้ลูกค้า ด้วยโซลูชันด้านการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive Analytics), การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing), การประมวลผลเอกสารอัจฉริยะ (Optical Character Recognition) และการจดจำคำพูดอัตโนมัติ (Speech to Text) โดยมุ่งเน้นปรับแต่งโซลูชันให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน ผ่านการประยุกต์ใช้วิธีการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ทำให้มีความเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง

 

“ปริชญ์”  กล่าวว่า Looloo เกิดจากคำว่า 100 ยกกำลัง 100 โดยมีผู้ร่วมก่อตั้ง 3 คน ได้แก่ ปริชญ์ รังสิมานนท์ ดูแลรับผิดชอบทางด้านธุรกิจ นักเรียนทุนบริษัท McKinsey & Company ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จาก Wesleyan University และปริญญาโทด้านการบริหารจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) ประเทศสหรัฐอเมริกา ประสบการณ์ทำงานด้านนักลงทุนให้กับกองทุนสำรองระหว่างประเทศของรัฐบาลสิงคโปร์หรือ GIC (Government of Singapore Investment Corp) ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเคยทำงานที่ Silicon Valley ศูนย์กลางโลกของเทคโนโลยีชั้นสูงและนวัตกรรม

 

คนที่ 2 สุปิติ บูรณวัฒนาโชค นักเรียนทุนจากธนาคารแห่งประเทศไทย ศิษย์เก่าคาร์เนกีเมลลอน สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์  เป็นผู้ก่อตั้งเด็กดีดอทคอม (Dek-D.com) ประสบการณ์ทำงานระดับท็อปฟอร์มด้าน Data Science ที่ Oracle  และสุดท้าย ดร.ธรรมนิติ์ พิพัฒน์ศรีสวัสดิ์ นักเรียนทุนพระราชทานไปศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่คาร์เนกีเมลลอน (Carnegie Mellon) และต่อเอกด้านปัญญาประดิษฐ์ที่ยูซีแอลเอ (UCLA) เป็นทีมบุกเบิกการพัฒนา Google Assistant โดยเฉพาะภาษาไทยโดยได้ทำงานเป็น Senior Programmer ที่ Google นาน 12 ปี

 

“ความโดดเด่นของ Looloo คือความได้เปรียบในด้านความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีและด้านภาษา ซึ่งในประเทศไทยภาพรวมของ AI (Artificial Intelligent) ณ ปัจจุบัน คนให้ความสนใจในเรื่องนี้ค่อนข้างมาก Generative AI มีกระแสมาตั้งแต่ ปี 2022 แต่คนที่นำไปใช้จริงนั้นยังน้อยอยู่มาก แต่ Looloo ที่มีผู้บริหารมาจากองค์กรใหญ่ระดับโลก มีพนักงานที่ทำงานให้กับองค์กรใหญ่ ๆ ระดับโลกจำนวนมาก ที่มีวิชั่นเดียวกันคือ สู้คนอื่นด้วยความดี และมุ่งมั่นให้ประเทศไทยสู้กับต่างชาติได้ ด้วยการรวมเอาคนเก่งมารวมอยู่จุดเดียวกัน”

AI Journey Transformation คิดเคียงข้างลูกค้าจาก 0 ถึง 100 

จุดเด่นของ Looloo ที่แตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ทำให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย คือ

    1. Expert เราคือตัวจริงเสียงจริง พิสูจน์มาแล้วด้วยประสบการณ์ของผู้บริหาร เช่น การบริหารเว็บไซต์ Dek-D ที่มีคนเข้าใช้บริการมากกว่า 4 ล้านคนต่อวัน มีเมมเบอร์ชิพถึง 20 ล้านคน ซึ่งการรวมตัวของเราที่ Looloo ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน ที่อยู่ภายใต้ 3 พันธกิจ คือ 1. การทำความดีให้เกิดประโยชน์กับสังคมส่วนมากเป็น AI For a Better World คือทำความดีและเรื่องดี ๆ ให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติและโลกนี้เป็นหลัก 2. Build Competitive Advantage เช่น การเทคโนโลยี AI อ่านลายมือเสียงที่ใช้เวลาพัฒนามากว่า 2 ปี ทำให้มีความแม่นยำที่สุด เพราะ Generative AI ต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาสูงที่เราทำได้ดีมากและไม่มีใครทำได้ และ 3. ความล้ำของเทคโนโลยี ที่สามารถยึดเหนี่ยวพนักงานไว้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่การทำแอปพลิเคชันธรรมดา แต่เป็นความท้าทายที่ทุกคนอยากจะเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ซึ่งตอนนี้เรามีพนักงานทั้งหมด 100 คน พนักงานกว่า 100 คน และในทีมได้มี International Publication มาแล้วมากกว่า 30 ชิ้น  ที่เราตั้งมั่นว่าจะเป็นคนไทยที่ประสบความสำเร็จในระดับ International

  1. Customize Solution เทคโนโลยีและโปรแกรมทุกอย่างเราสร้างเองทั้งหมดตอบโจทย์การใช้งานที่ลูกค้าต้องการได้จริง ตัวอย่าง เช่น ระบบ Speech to Text ของเราได้ช่วยทำ QC ให้กับลูกค้า Call Center มากกว่า 200,000 ครั้งต่อวัน ระบบการอ่านเอกสาร (Optical Character Recognition) ช่วยแปลเอกสารที่เป็นกระดาษเข้าฐานข้อมูลกว่า 140,000 แผ่นต่อวัน ทั้งเอกสาร ใบสมัคร, เช็ค ทุกอย่าง ใช้ AI ช่วยจัดวางสินค้า เพื่อเพิ่มยอดขายในแต่ละจุดจำหน่าย และป้องกันสินค้าขาด มากกว่า 10 ล้านชิ้นต่ออาทิตย์ เราทำเกี่ยวกับไฟแนนซ์รถ มีเอกสารเกี่ยวกับรถยนต์ 70,000 คัน รถจักรยานยนต์ ปีละ 200,000 คัน มีความแม่นยำสูงและรวดเร็วกว่าการใช้ระบบดั้งเดิม เช่น AI ของเรา สามารถอ่านลายมือภาษาไทยโดยมีความอย่างแม่นยำสูงที่สุดในประเทศไทย

“Looloo จะจับมือคุณตั้งแต่ยังไม่รู้อะไร จนเสร็จสิ้นกระบวนการ ซึ่งนี่คือความแตกต่างของเรา เราสร้างเทคโนโลยี In-House เองตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำต้องตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้ ”

 

  1. Cyber Security ลูลู่ เทคโนโลยี ได้รับการประเมินผ่านมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2022 หรือ Information Security Management ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศระดับโลก จึงสะท้อนให้เห็นว่า ลูลู่ เทคโนโลยี เป็นองค์กรที่มีระบบการจัดการและปกป้องข้อมูลภายในระบบสารสนเทศของบริษัท ข้อมูลพนักงาน รวมถึงข้อมูลของลูกค้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากลโลก

 

  1. Partnership ลูกค้าที่ใช้บริการหลัก ๆ จะเป็นลูกค้าเดิมตั้งเริ่มต้นก่อตั้งบริษัท เช่น รพ.สมิติเวช ธุรกิจกลุ่ม Healthcare, Insurance, Retail, Auto Motive เป็นต้น ซึ่งแต่ละแบรนด์เป็นตัวแทนผู้ได้รับบริการจริงและมีความพึงพอใจ ที่สร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าที่จะเข้ามาใหม่ได้เป็นอย่างดี

 

 

AI ฉลาดจนน่ากลัวจะแย่งงานมนุษย์ ?

          ในปัจจุบันธุรกิจทุกประเภทจะขาด  AI ไม่ได้ เพราะเป็นระบบที่ช่วยหาข้อมูลในระดับอัจฉริยะ การวางแผนกลยุทธ์ได้เร็วขึ้น ตรงกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น ทำให้การทำงานเร็วขึ้น ดังนั้น AI เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกธุรกิจที่ต้องการเติบโตในระยะยาว เราต้องเดินให้ทันกับโลกที่พัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด

“มุมมองผม ควรกลัวคนที่ใช้ AI มาใช้ประโยชน์ในช่องทางที่ไม่ถูกมากกว่า ด้วยการนำมาทำร้ายผู้บริโภค อีกอย่างเปรียบเทียบเหมือนคู่แข่งถือปืนแต่เรายังถือดาบอยู่ ก็เหมือนกับหากคู่แข่งใช้ AI แล้วแต่เรายังไม่ได้เรียนรู้ การทำธุรกิจก็ยากที่จะสู้ได้ ทุกวันนี้คนไทยยังกลัวเรื่องการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาจะทำให้คนตกงาน ซึ่งพูดกันมาเป็นสิบปีแล้ว แต่เราอยากบอกว่าไม่ต้องกลัวว่า AI จะมาครองโลกแทนคน ควรจะกลัวว่าคู่แข่งที่มี AI จะเข้ามาแทนที่คุณหรือไม่ในอนาคตจะดีกว่า”

ธุรกิจ AI คือ “ธุรกิจเปลี่ยนโลก” ซึ่งเดิมโลกมีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วถึง 4 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 การค้นพบเครื่องจักรไอน้ำ การปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลให้หลายประเทศมีการเติบโตของเศรษฐกิจและความมั่งคั่งสูงขึ้น รวมถึงยุคล่าอาณานิคมด้วย ครั้งที่ 2 การค้นพบไฟฟ้า เครื่องยนต์สันดาปภายใน  วัสดุเคมีภัณฑ์ การเดินทางทางอากาศ ทำให้โลกเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ครั้งที่ 3 การปฏิวัติระบบดิจิทัล (คอมพิวเตอร์, Smart Phone เป็นต้น) ได้เปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ของคนให้สะดวกสบายและเชื่อมต่อกันได้มากขึ้น และครั้งที่ 4 เป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ที่ทั้งรวดเร็วและทำให้เกิดการ Disruption ในวงกว้างกว่า เป็นการเปลี่ยนความฉลาดของมนุษย์ ซึ่งทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงย่อมมีทั้งคนที่ได้รับประโยชน์ และเสียประโยชน์

 

 

ดังนั้นยุคนี้เป็นยุคที่ทุกคนอยู่เฉยไม่ได้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับ การตลาด ธุรกิจที่ให้คำปรึกษา และ กฎหมาย หากไม่มี AI เข้ามาใช้จะส่งผลลบต่อธุรกิจมาก เพราะ AI จะเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ของคน  ผมเชื่อว่าทุกภาคอุตสาหกรรมต้องได้รับผลกระทบแน่นอนหากไม่ใช้ AI เพราะคู่แข่งที่ใช้ย่อมมีโอกาสได้เปรียบทางธุรกิจ ทั้งความแม่นยำ และความรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้เติบโตได้มากกว่า

“AI กำลังเปลี่ยนโลก แต่ในเมืองไทยผู้ประกอบการยังนำมาใช้ยังน้อยมาก อาจเป็นเพราะด้วยความไม่เข้าใจว่ามันเป็นสิ่งไกลตัว และยังไม่รู้ว่าจะนำมาใช้ในองค์กรอย่างไร แต่นั่นก็จะทำให้องค์กรที่ปรับตัวช้าอาจแพ้การแข่งขันได้ง่ายอย่างรวดเร็ว เช่น ลูกค้าน้ำดื่มผมที่ใช้ AI ในการช่วยวางสินค้าและแนะนำการเพิ่ม SKU เข้าร้านค้า ในเมื่อตู้แช่น้ำมีพื้นที่จำกัด ถ้าลูกค้าผมได้วางสินค้าเพิ่มแปลว่าเขาต้องไปแทนที่สินค้าของคู่แข่งอื่น ๆ ที่จะต้องเอาออกจากตู้แช่นั้นๆ นั่นคือความน่ากลัวของคนที่ยังไม่ได้ใช้ AI เพราะ AI จะมีประโยชน์ในความแม่นยำ ทำให้ขายได้ง่ายกว่า ช่วยขยับรายได้ได้ทันที อย่างเช่น บริษัทยอดขายหมื่นล้านเราทำการขยับแค่ 1% ของยอดขาย ก็ขยับขึ้นเป็นร้อยล้านแล้ว ซึ่งในความเป็นจริง Value ขยับได้ถึง 3 – 5% เพียงแค่ทำให้เกิดความแม่นยำในการทำระบบมากขึ้น”

“มันน่าตื่นเต้นที่เราสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก เช่น ถ้าเราจะทำ semi-conductor จะไปแข่งกับนายทุนใหญ่เรื่องทุนคงสู้ไม่ได้ แต่หากเรามีความฉลาดและเอาความฉลาดมารวมกันเราจะสู้กับใครก็ได้ในโลก นี่คือความสวยงามของ AI และเทคโนโลยี  AI เป็นเรื่องยากที่ทุกคนต้องรู้  เพราะว่ามันคืออนาคต”